“เสี่ยบี” เปิดใจหลังไฟไหม้ “เมาน์เทน บี” ภาพยังติดตา เครียดถึงขั้นชวนเมียฆ่าตัวตาย สุดท้ายตั้งสติได้ประกันตัวออกมาหาเงินช่วยเหลือเหยื่อ
(9 ส.ค.65) เวลา 15.30 น. นายพงศ์ศิริ ปั้นประสงค์ อายุ 27 ปี พร้อม นางอนงค์นาถ ปั้นประสงค์ อายุ 30 ปี ภรรยา ในฐานะผู้บริหารร้าน “เมาน์เทน บี” และนายอนุชา วงศ์ศรีรัตน์ ทนายความ ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวหน้าสถานที่เกิดเหตุต่อสื่อมวลชน หน้าที่เกิดเหตุ เพื่อชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแนวทางเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
นายพงศ์ศิริ หรือ เสี่ยบี กล่าวว่าในขณะเกิดเหตุตนเองกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องทำงาน จนกระทั่งได้ยินเสียงระเบิดขึ้นจากภายในร้าน จึงวิ่งไปดูเมื่อทราบว่าเป็นเพลิงไหม้ก็ได้พยายามช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทุกรายไม่ได้หนีหายไปไหนเลย กระทั่งเพลิงสงบ ซึ่งจากการเห็นภาพของผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่ก็ยังติดตาและจดจำไม่มีวันลืม อีกทั้งยังรู้สึกช็อกและเสียใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ถึงกระทั่งชักชวนภรรยาไปฆ่าตัวตายด้วยกัน
แต่ภายหลังยังคุมสติไว้ได้ จากนั้นจึงเดินทางไป สภ.พลูตาหลวง และถูกคุมตัวไว้ที่นั่น กระทั่งมีหมายจับจากศาลจึงถูกนำตัวลงมาคุมขัง จนวานนี้เจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งศาล ทนายความจึงขอประกันตัวออกมาในวงเงิน 3 แสนบาท พร้อมติดกำไลอีเอ็ม ที่ข้อขาด้านซ้าย เมื่อออกมาได้ก็พยายามนำเงินไปช่วยงานศพผู้เสียชีวิต รวมทั้งพยายามหาหาเงินมารับผิดชอบและเยียวยาผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรายอื่นๆ ซึ่งยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด ส่วนที่ช่วยไปนั้นเป็นการเพียงการช่วยเหลือเบื้องต้นเท่านั้น
ส่วนนางอนงค์นาถ ภรรยา เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุยังนั่งทำงานอยู่เกี่ยวกับการเช็กสต็อกอาหารที่อยู่ใน ถุงซิปล็อค ถุงซิป ในห้องด้านนอก ช่วงประมาณ 01.00 น. ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น จากนั้นก็เห็นเพลิงไหม้ภายในร้านบนหลังคา ก่อนจะวิ่งไปดูเมื่อเห็นไฟกำลังลุกไหม้และโหมอย่างรุนแรงก็ตะโกนบอกให้ทุกคนหลบหนี และให้พนักงานช่วยกันนำลูกค้าออกมา โดยทางการ์ดของทางร้านก็ได้ตะโกนบอกให้ออกมาด้านนอกเพราะกำลังจะเกิดการระเบิดขึ้น จึงวิ่งเข้าไปหลบให้ห้องทำงานก่อนและบอกสามีก่อนจะแจ้งดับเพลิงและหน่วยกู้ภัยให้มาช่วยเหลือ ขณะนั้นก็เห็นคนเจ็บพากันวิ่งออกมาตามคลิปที่มีไฟลุกติดตามตัวก็เอาผ้าขนหนู ผ้าห่มมาคลุมและให้นอนพัก เมื่อไฟดับก็วิ่งออกมาตามหน่วยกู้ภัยเรียกให้เข้าไปช่วยเหลือคนเจ็บ ยอมรับว่าตกใจจนเกือบควบคุมสติไม่ได้
ส่วนที่มีการกล่าวว่าประตูด้านหลังถูกล็อกนั้น เรื่องนี้ก็ไม่ทราบว่าล็อกหรือไม่ แต่ยืนยันว่าไม่เคยสั่งให้ล็อกประตูแต่อย่างใด ได้มอบหมายให้การ์ดเป็นผู้ถือดูแลและถือกุญแจไว้ โดยจะปิดไว้เฉพาะเวลาร้านปิดเท่านั้น แต่วันเกิดเหตุล็อกหรือไม่อย่างไรไม่ทราบ เพราะการ์ดที่ถือกุญแจได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ยังคงรักษาตัวอยู่ ส่วนที่ว่าล็อกเพราะกันลูกค้าหลบออกไปนั้นเรื่องนี้คงไม่ใช่ เพราะทางร้านมีการเก็บเงินสดอยู่แล้ว และยืนยันว่าไม่เคยสั่งให้ล็อกเพราะรู้ว่าเป็นประตูหนีไฟ ขณะที่ประตูอีกฝั่งตรงข้ามกัน บริเวณห้องน้ำก็มีประตูเข้าออกที่ติดไฟแจ้งไว้ว่าเป็นประตูหนีไฟก็ไม่เคยล็อก เพราะมีการส่งของเข้ามาด้านในตลอดเวลา
นางอนงค์นาถ กล่าวเพิ่มเติมทั้งน้ำตาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะเทือนใจอย่างมาก จนนายพงศ์ศิริ สามีมาบอกว่าทนรับสภาพแบบนี้ไม่ไหว และชวนกันไปฆ่าตัวตาย เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้ขึ้น และร้านก็เปิดได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น และที่ผ่านมาก็เข้ามากำกับดูแลและตรวจเช็กระบบทุกวัน ทั้งระบบไฟ เสียง และความปลอดภัย โดยมีการ์ดจำนวน 8 คน ประจำตามจุดต่างครบถ้วนเพื่อให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนวันเกิดเหตุมีโคมไฟภายในร้านตกใส่ลูกค้า จึงได้แจ้งให้พนักงานพาไปหาหมอและทางร้านชดใช้ค่ารักษาพยาบาลให้ ต่อมาจึงแจ้งช่างให้มาตรวจสอบและซ่อมแซมกระทั่งแล้วเสร็จ สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นทางเราจะพยายามเยียวยาทุกคน ซึ่งได้ปรึกษาทางทนายความส่วนตัวและญาติแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งเบื้องต้นก็ยืนยันว่าจะเยียวยาเต็มที่ ทั้งนี้ต้องขออภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ยอมรับว่าจากนี้คงจะเปิดกิจการร้านอาหารด้านหน้าเหมือนเดิม ส่วน เมาน์เทน บี คงจะปิดถาวร ส่วนที่จะเปิดร้านด้านหน้าก็เพราะสงสารพนักงานรวมกว่า 60 ชีวิต ที่ต้องตกงานจึงอยากจะช่วยเหลือด้วย
ด้านนายอนุชา วงศ์ศรีรัตน์ ทนายความ ขณะนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือและเยียวยาผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทั้งหมด แต่ส่วนตัวแล้วเกรงว่าอาจจะไม่ทั่วถึงเพราะมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก จึงอยากวิงวอนให้ผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายเข้ามาช่วยในการเจรจาร่วมและไกล่เกลี่ยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหาย ทั้งนี้เบื้องต้นได้แจ้งผ่านไปทางสภาทนายความศาลจังหวัดพัทยา เพื่อให้รับเรืองร้องเรียนจากทางผู้เสียหายและทำการรวบรวมและเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันต่อไป