ขมคอ Story Podcast รายการ Podcast ของพิธีกร เบ็นซ์-จิรายุ จันทรวงศ์ หรือ เบ็นซ์ตุ๊ดย่อยข่าว พร้อมเชิญคนดังในวงการบันเทิงมาร่วมพูดคุยแชร์ประสบการณ์ชีวิตขมๆ ซึ่งวันนี้ นักร้องสาวชื่อดัง น้ำหวาน-พิมรา เจริญภักดี หรือ น้ำหวาน ซาซ่า ยินดีที่จะเปิดใจเล่าหลากหลายเรื่องราวการทำงานกว่า 20 ปี รวมถึงเรื่องที่หลายคนอยากรู้ นั่นก็คือ “ความรัก…”
เข้าวงการตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ?
หวานเป็นศิลปินฝึกหัดที่แกรมมี่ ตั้งแต่ 9 ขวบ ฝั่งคุณแม่จะทำงานวงการบันเทิง คุณตาเป็นผู้กำกับ คุณน้า (น้าใหม่ เจริญปุระ เป็นนักร้อง) เลยให้เราไปสกรีนเทสต์ แต่คำว่าได้ มันต้องผ่านการเตรียมความพร้อมเยอะมาก
ศิลปินฝึกหัดไปทางสายนักร้องเลยใช่มั้ย จาก 9 ขวบ นานมั้ย ถึงจะออกมาเป็นซาซ่า ?
อายุประมาณ 13-12 เริ่มอัดเสียง เราก็งงกับเรื่องราวในสิ่งที่เราต้องทำมากๆ อัลบั้มแรกที่ออก อายุ 12 ย่าง 13
เรารู้สึกยังไงบ้างกับทางแกรมมี่ที่จับพี่ๆ มารวมกับเรา พี่พิม พี่แก้ว ?
คือตอนนั้นเราก็มองว่าเราจะเข้ากันได้มั้ย เพราะหวานเคยชินกับการคบเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่โชคดีที่แก้วโตกว่าปีนึง แต่เรียนชั้นเดียวกัน ก็เลยมีเรื่องคอมม่อนที่ทำให้เราคุยกัน พี่พิมโตกว่าหวานสี่ปี ใส่ชุดนักศึกษาสวยมาเลย หวานก็เลยรู้สึกว่าเอ๊ะ..ว่าเราจะเข้ากับเขาได้มั้ย เขาจะเข้าใจเรามั้ย แรกๆ ก็แน่นอนมันอยู่รวมกันก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน ทำความเข้าใจกันเยอะมาก กว่าที่จะมาลงล็อกกัน
การเป็นศิลปินในยุคนั้น กว่าจะเดินทางมาถึงซาซ่า เขาให้เวลาเราศึกษากัน ละลายพฤติกรรมกันนานมั้ย ?
กับพี่พิมไม่นาน เพราะว่าพี่พิมมาช่วงตอนอัดเสียงแล้ว มาหลังสุด ก่อนหน้านั้นเป็นน้องพิ้งกี้ ตอนนั้นซาซ่าวางเป็นพิ้งกี้ แต่พิ้งกี้ถูกโยกไปอีกโปรเจกต์นึง ก็เลยกลายเป็นพี่พิมเข้ามา แต่หวานกับแก้ว มีความคุ้นเคยกันในระดับนึงตอนนั้นอยู่แล้ว เป็นศิลปินฝึกหัดที่ยังหลงเหลืออยู่ คนอื่นเขาไปหมดแล้ว บางคนก็ไปออกโปรเจกต์นั้นโปรเจกต์นี้ ก็เหลือไม่กี่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน พอรู้ว่ามาทำงานด้วยกันก็โอเค ซองไปรษณีย์ / ซองไปรษณีย์พลาสติก
วันแรกที่เรารู้ว่าคนที่สามไม่ใช่พิ้งกี้ เป็นยังไงบ้าง ?
เจอพี่พิมเขาครั้งแรกความรู้สึกแบบ ทำไมสวยจัง พี่พิมใส่ชุดนักศึกษามา รู้สึกเขินที่จะพูดคุยด้วย เพราะวัยเราต่างกันเยอะ ตอนนั้นเราประมาณ ม.2 – ม.3 ส่วนพี่พิมอยู่ ปี 1
วันแรกที่เราสัมผัสความดัง จำได้ไหมว่ามันเป็นวันไหนที่เรารู้สึกว่า ฉันดังแล้วมีคนทักฉัน สถานที่ไหน ?
จำได้ค่ะ มันคือที่สยาม แต่ก่อนจะมีร้านเทปชื่อร้านอินเมจิน วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่เราจะต้องออกจากโรงเรียนก่อนครึ่งวันเพื่อที่จะไปเตรียมตัว เพื่อที่จะขึ้นไลฟ์ คือ คอนเสิร์ตครั้งแรก ก็ยังพูดอยู่เลยว่าถ้าไม่มีใครมาดู ก็เลยชวนเพื่อนที่โรงเรียน เลิกเรียนแล้วมายืนเป็นหน้าม้าให้หน่อย คิดว่าน่าจะไม่มีคนมา สรุปก็เป็นวันแรกที่หวานกรี๊ด คือเซอร์ไพรส์ว่าคนที่มา เขามาดูเราเหรอ มีป้ายไฟเล็กๆ เขียนชื่อ ก็ยังแอบคิดเลยว่าว่าเป็นของเพื่อนเราหรือทีมงานเขาคงหาเอามาให้ สรุปเพลงเราตอนเราขึ้นไป เสียงกรี๊ดแรกนึกแล้วยังขนลุก มันดีจริงๆ แล้วเราก็รู้สึกว่า การขึ้นไปแล้วมีคนมากรี๊ดมันเป็นความรู้สึกอย่างนี้
คิดไหมว่าซาซ่าจะเดินทางมาได้ยาวนานหลายปีขนาดนั้น ?
มันก็มีช่วงที่ตก เอ่อ…จริงๆ มันก็ไม่ได้เรียกว่าตก คือมันก็จะมีความดังอยู่ในเพลงของแต่ละอัลบั้ม บางอัลบั้มที่มันก็เงียบ แต่มันก็โชคดีที่ว่าเพลงฮิตของแต่ละอันยังช่วยพยุงได้ ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาถึงวันนี้
ช่วงเวลาผ่านมาในวัยผู้ใหญ่ มีความขมอะไรในชีวิต ที่มันรู้สึกว่าก้าวข้ามผ่านยากเหลือเกิน ?
ความรักครั้งล่าสุด ที่จบไปที่เป็นข่าว วิธีก้าวข้ามผ่านคือ หวานจะเป็นคนปล่อยให้ตัวเองเสียใจจนสุด หวานร้องไห้หนักมาก ฟังเพลงเศร้าคลุมโปง นอนซมอยู่บนเตียง จมอยู่แบบนั้น ปล่อยให้ตัวเองจมไปถึงสุดๆ
จนสุดท้ายลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้วดูตัวเอง ทำไมผ่านไป 2-3 วัน เราเปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนี้ เราไม่เอาอะไรเลยเหรอ ทั้งๆ ที่คนอื่นก็พยาพยามอยากให้เราดีขึ้น เราก็ไม่ได้การแล้ว จากนั้นก็คือลุกขึ้นมารีเซ็ตสภาพร่างกายตัวเองก่อน อาบน้ำสระผมให้เรียบร้อย บอกตัวเองว่าเราต้องลุก เพราะเรายังมีงานต้องทำ ทั้งงานในวงการบันเทิง ทั้งงานการเป็นครูสอนดำน้ำ เรามีหลายสิ่งที่รอเราอยู่ เราอนุญาตให้ตัวเองจมได้ 2-3 แต่วันนี้เราต้องรีเฟรซตัวเองก่อน ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก อาจจะแค่ช่วยภายนอกได้นิดหน่อย แต่ภายในก็ยังแย่เหมือนเดิม
จากนั้นหวานก็ตั้งสติ คิด ทบทวน เพราะชีวิตเราเป็นเหมือนกระดาษ A4 นั่งดูว่าจุดขาวจุดเปื้อนอะไรมากกว่ากัน เราเป็นมนุษย์เรามีสิทธิ์ที่จะมีจุดเปื้อน ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง เราเขียนอะไรลงไปเราก็มอง และรับความจริงว่านี่คือเรา อันนี้เราทำไม่ดี อันนี้เราโอเคแล้ว แล้วพอเราดู สมมติด้านขาวมันเยอะกว่า สิ่งที่เราต้องทำต่อมาคือการให้คุณค่ากับส่วนที่เราทำดี เอาขึ้นมาแปะไว้เลย หวานเขียนเลยนะเป็นข้อๆ ว่าสิ่งไหนที่เราทำดี แล้วสิ่งไหนที่เกิดขึ้นแล้วมันไม่ดี พอดูเสร็จปุ๊บ เราให้คุณค่าในสิ่งที่เราทำดีมาตลอด มันก็ทำให้เรารู้สึกฟูขึ้นมานิดนึง
ตอนนั้นเราไม่รู้จักคำว่ารักตัวเอง เรารู้จักแต่การรักคนอื่น และเรารู้สึกเลยว่านี่เป็นก้าวแรกที่เราให้คุณค่ากับตัวเอง แต่หนึ่งอย่างที่ยากสำหรับหวานคือคนรอบตัวหวาน เพราะไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ เพื่อน ผู้จัดการ ไม่เคยมีใครผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ไม่มีใครเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาให้กำลังใจเราได้ เขาเชียร์อัพเราได้ แต่เราก็ต้องมีต้นทุนในใจเราที่จะทำให้เราดีขึ้นติดตัวมาบ้างเหมือนกัน หวานไม่เคยพูดที่ไหนว่าหวานใช้เวลาในการฮึลใจเดือนครึ่งจากเทคนิคนี้ แต่หวานจะไม่บอกตัวเองว่าไม่ร้องไห้ ถ้าเมื่อไหร่หวานอยากร้องไห้ หวานก็ร้อง มันเป็นการระบายอย่างนึง สุดท้ายมันก็ผ่านมาได้ เพราะว่าเราเองก็ไม่อยากเสียเวลา
เหตุการณ์ไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องเริ่มรักตัวเอง ?
เหตุการณ์นี้แหละ เรารู้สึกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา เราเป็นคนที่รักคนอื่น มีแฟนเราก็รักแฟนมาก สูญเสียความเป็นตัวเอง อะไรก็ได้ต่อให้เราไม่อยากทำ หรือเราไม่ชอบ เราก็พร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเราเอง
นั่นหมายความว่าความสุขของเราอยู่ที่เขา ?
ความสุขของเราอยู่ที่เขาตลอดเวลา บางทีที่เราไม่ชอบ เราว่ามันไม่ได้ เราก็จะแถไปจนมันได้ เพียงแค่เพราะเราไม่อยากขึ้นชื่อว่าเลิกกับแฟน หวานไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น หวานอยากจะมีภาพที่มันสมบูรณ์แบบ แต่สุดท้ายพอเรามานั่งมองตรงนี้ วันนี้เรารู้สึกว่าเราไม่ควรที่ทำแบบนั้นเลย เพราะมันเป็นการกระทำที่ผิด เพียงแต่ ณ เวลานั้นเราแคร์สิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง แคร์ความคิดคนอื่นมากกว่าสิ่งที่เราเป็นจริงๆ นั่นแหละค่ะ คือจุดที่หวานเริ่มรู้สึกกลับมาให้ความสำคัญกับตัวเอง ให้คุณค่าตัวเอง ให้คุณค่ากับสิ่งที่เรารู้สึกจริงๆ เราจริงใจกับความรู้สึกตัวเอง ซึ่งมันก็เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานมานี้ จริงๆ ก็คือปีนี้แหละ
ก็คือเริ่มรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นจะต้องเอาความสุขไปแขวนอยู่กับใคร ?
เราเคยได้ยินประโยคนี้มาบ่อยมาก จากโค้ชคนนั้นคนนี้ จากหนังสือต่างๆ ที่เราอ่าน แต่เราไม่เคยเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ แต่ ณ วันนี้ วันที่เราได้คิด เราได้สติ สรุปแล้วมันก็จริง คือเมื่อไหร่ที่เราเอาอะไรไปฝากไว้กับใคร มันก็ไม่มีใครดูแลอะไรได้ดีเท่ากับตัวเราทำเองหรอก ใจเราก็เหมือนกัน ใครจะดูแลใจเราได้ดีเท่ากับตัวเรา